Dark Tourist เป็นรายการท่องเที่ยวใน Netflix ดำเนินรายการโดย David Farrier หนุ่มนักข่าวจากนิวซีแลนด์ ที่จะพาคุณไปเที่ยวในสถานที่ดาร์กๆสมชื่อ ไม่ว่าจะเป็นทริปปรมาณูที่ประเทศคาซักสถาน ทริปตามรอยเจ้าพ่อยาเสพติดในโคลอมเบีย แต่ถ้าไปเที่ยวเฉยๆมันก็ไม่แปลก คงให้ความรู้สึกเหมือนสารคดีทั่วๆไปนั่นแหละ แต่มันมีสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำหรือจะพบเจอด้วยน่ะสิ.. มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
กินปลาและว่ายน้ำในทะเลสาบที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์
– ทริปปรมาณู เมืองเซเมย์ ประเทศคาซักสถาน
โดยปกติแล้วถ้าเรารู้ว่าสถานที่แห่งหนึ่งเคยเกิดนิวเคลียร์ แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้สึกเป็นกังวลกับปริมาณสารตกค้าง แต่ขึ้นชื่อว่า Dark Tourist ก็ต้องเต็มไปด้วยความเสี่ยง ในทริปนี้แทบจะทุกสถานที่ที่เขาพาไปล้วนเป็นจุดที่เคยเกิดระเบิดนิวเคลียร์ทั้งสิ้น อย่างทะเลสาบแห่งนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ .1965 จากแรงระเบิดนิวเคลียร์ใต้ดินของโซเวียต ความรุนแรงมหาศาลกว่าที่ฮิโรชิม่า 10 เท่า ระเบิดจนเป็นหลุมกว้าง 400 เมตร ลึก 100 เมตร โดยเรียกกันว่า ทะเลสาบปรมาณู ซึ่งน้ำในทะเลสาบนั้นมีกัมมันตรังสีสูงกว่าน้ำทั่วไปถึง 100 เท่า และใครจะไปคิดว่าสิ่งที่เขาเลือกทำคือนั่งกินปลาเผาที่ชาวบ้านตกได้จากในทะเลสาบนั้นและลงไปว่ายน้ำ ถึงแม้ว่าไกด์จะบอกว่าปลอดภัยดีถ้าไม่ดำลงไปลึกก็พอ…
ดินเนอร์กับคู่รักแวมไพร์ เพื่อตามดูวิธีดูดเลือดชัดๆ
– ทัวร์แวมไพร์ เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา
เขาได้รับโอกาสให้ไปดินเนอร์กับแวมไพร์และตามหาคำตอบว่าเวลาแวมไพร์ดูดเลือดกันมันเป็นยังไง โดยมีโลเกนและเดลีย์คู่รักแวมไพร์และคนอีกคนที่เป็นเหมือนผู้บริจาคเลือด โดยวิธีการดูดคือการเจาะเลือดที่นิ้วของผู้บริจาคและดูด แต่หลังจากได้ไปดูแวมไพร์ดูดเลือดแล้วจริงๆนั้นเขากลับมองว่ามันดูเหมือนกับการแสดงและดูไม่ใช่วิถีของการดูดเลือดอย่างแวมไพร์เพื่อมีชีวิตอยู่สักเท่าไหร่ ทำให้เขาพยายามจะค้นหาคำตอบต่อ จนได้เข้าไปเยือนปาร์ตี้บ้านตระกูลแวมไพร์ที่น่าตื่นเต้น โดยมีแค่เขากับตากล้องเท่านั้นที่ไม่ใช่แวมไพร์ในบ้านหลังนี้
และในที่สุดเขาก็ได้ดูวิธีดูดเลือดของแวมไพร์อีกจนได้ โดยแวมไพร์เล่าว่าหากเขาไม่ได้ดื่มเลือด เส้นผมของเขาจะหยาบกระด้าง ไร้ชีวิตชีวา ดวงตาจะเป็นต้อขุ่นมัว โดยวิธีดูดเลือดของแวมไพร์ตระกูลนี้ใช้การดูดที่หลัง เขาได้สัมผัสถึงบรรยากาศการใช้ชีวิตของแวมไพร์ในปาร์ตี้นั้นและพบว่าบางทีแล้วลัทธิแวมไพร์ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเลือดจริงๆเสียทีเดียวแต่อาจจะเกี่ยวข้องกับการหาสังคมของพวกเขาซะมากกว่า
สวมบทบาทเป็นนายทหารสู้กับนาซี ในเทศกาลสงครามเสมือนจริง
– เมืองแพดด็อกวู้ด ประเทศอังกฤษ
ใครจะไปคิดว่าโลกนี้จะมีเทศกาลที่จำลองการรบอยู่ด้วย แถมยังจัดกันเป็นอาทิตย์ โดยมีนักท่องเที่ยวสายมืดเลือกที่จะสละเวลาวันหยุดของพวกเขา เพื่อมาร่วมงานนี้ไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นคนต่อปี โดยแต่ละคนจะแต่งตัวเป็นบุคคลสำคัญสมัยสงคราม หรือนายพล นายทหารจากหลากสงครามจากยุคสมัย แล้วเขาก็ไม่ได้แต่งตัวมาเพื่อดูเฉยๆด้วยนะ แต่ต้องรับบทบาทแล้วมาลุยโคลน บุกป่าฝ่าดงจริงๆ แถมยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามที่เราจะสู้รบด้วย การฝึกรบที่นี่ก็ดูจะไม่ต่างอะไรกับการฝึกรดของไทย ทำให้เดวิดตั้งคำถามว่าทำไมคนเราถึงสละเวลาพักผ่อนของตัวเองมาเพื่อทำอะไรแบบนี้ แล้วการทำแบบนี้มันเป็นการคอยย้ำเตือนเหตุการณ์ในอดีตจริงๆหรือว่าเพียงแค่นำเอาสงครามมาใช้เพื่อความบันเทิงกันแน่
ทัวร์ข้ามชายแดนหนีตาย
– ชายแดนประเทศเม็กซิโก – สหรัฐอเมริกา
สัมผัสประสบการณ์ข้ามชายแดนกัน ที่นี่เขาสามารถเปลี่ยนการเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายให้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยมได้ ใครจะไปเชื่อว่าจะมีทัวร์แบบนี้อยู่ที่เวลาเจ็ดโมงเช้าเราจะต้องตื่นออกมาโดนผู้บัญชาการที่ใส่หน้ากากโม่งสีดำสั่ง และสอนการหมอบและหนีออกจากชายแดน โดยผู้บัญชาการเคยเป็นผู้ลักลอบพาผู้อพยพเข้าเมืองจริงๆ เขาเห็นความล้มเหลวมากมาย ที่แย่ไปกว่านั้นคือเคยเห็นคนตายกลางทางขณะพยายามข้ามชายแดนจริงๆ เขาจึงจัดทัวร์นี้ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่าการข้ามชายแดนไม่ใช่เรื่องปลอดภัย แล้วคือการเซตทัวร์หนีข้ามชายแดนนั้นสมจริงมากๆ ทั้งเสียงปืน เสียงหวอรถตำรวจ แถมยังมีเหตุการณ์ให้ระทึกอย่างการโดนโจรเข้ามาชิงทรัพย์ระหว่างทางด้วยอีก สมจริงจนชวนให้ลืมไปเลยว่านี่เป็นแค่ทัวร์ แต่ก็ถือว่ามันก็ทำให้เราได้ฉุกคิดเกี่ยวกับปัญหาทางสังคมของการอพยพ ว่าคนเรามันจะต้องมีความรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหนกันถึงเลือกที่จะผลักดันตัวเองให้ข้ามพรมแดนที่เสี่ยงตายขนาดนี้
ทัวร์ประวัติศาสตร์ยาเสพติดกับไกด์ที่เคยเป็นมือปืนของเจ้าพ่อยาเสพติด
– เมืองเมเดยิน ประเทศโคลอมเบีย
ทัวร์ยาเสพติดทั้งทีก็ต้องมีผู้ที่รู้จริงมาเป็นไกด์ให้เรา แต่คนที่เป็นไกด์ให้กับเรานั้นดันเป็น ป๊อบอาย-ผู้ติดตามใกล้ชิดของเจ้าพ่อยาเสพติดชื่อดังอย่าง พาโปล เอสโคบาร์ แถมยังเป็นมือปืนที่ตามเก็บคนกว่า 250 คนด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อเจ้านาย ที่ตอนนี้กลายเป็น YouTuber เดวิดมองว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่เขาออกจากคุกมาแล้วสำนึกผิด หันมาทำอาชีพที่สุจริต แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวในทัวร์ของเขาในบางช่วงก็ดูเหมือนจะเป็นการนำเอาเรื่องจริงอันโหดร้ายในอดีตมาทำเพื่อความบันเทิง อย่างการแสดงบทบาทสมมติเป็นมือปืนในอดีตอีกครั้ง
ยังมีอีกหลายสิ่งที่คาดไม่ถึงอีกหลายอย่างในรายการนี้ที่รอให้ทุกคนไปค้นพบในรายการ Dark Tourist ดูแล้วนอกจากจะให้ความรู้สึกตื่นเต้น ประหลาดใจกับตัวเองว่าโลกเรามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ ยังทำให้เราได้มองเห็นความหมายของการเดินทาง สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวความดาร์กเหล่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องวัฒนธรรม ความเชื่อ ปัญหาสังคม สงคราม ความเป็นมนุษย์ เชื่อว่าหากทุกคนดูจบแล้วน่าจะเข้าใจว่าทำไมเดวิดถึงเลือกที่จะเสี่ยงอันตรายเพื่อไปตามสถานที่ต่างๆเหล่านี้ ส่วนเรานั้นก็ขอเป็นคนดูอยู่ห่างๆบนหน้าจอ Netflix แบบนี้ละกัน แหะๆ