เชื่อหรือไม่บางทีการดูรายการบันเทิงก็สามารถให้แง่คิดเราได้อย่างน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม หรือการดูหนังดีๆ สักเรื่องเลยแหละ รวมไปถึงรายการ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง
มองเผินๆ คนดูอาจคิดว่ารายการนี้ดูเพื่อผ่อนคลาย แต่ถ้าได้ลงรายละเอียดลึกๆ และคิดวิเคราะห์ เราจะเห็นว่าจริงๆ แล้ว The Mask Singer แฝงข้อคิดเอาไว้ จะด้วยเป็นสิ่งที่ทีมงานตั้งใจซ่อน หรือเป็นเพราะเราบังเอิญหาเจอเอง ไม่ว่าจะเจอด้วยวิธีไหน แต่เราสรุปออกมาได้ 5 ข้อคิดที่น่าสนใจดังนี้
คนที่มีอคติ แม้ทำให้ชอบแค่ไหนก็ลบอคติในใจไม่ได้
ต้องยอมรับว่าอคติคือสิ่งที่ไม่สามารถลบออกไปจากใจได้ แม้ว่าเขาจะทำให้เราชอบแค่ไหน แต่เมื่อรู้ความจริงก็จบ อย่างในกรณีของหน้ากากพยาบาลที่ภายใต้หน้ากากเป็น ‘แตงโม – นิดา พัชรวีระพงษ์’ ตอนที่เธอยังไม่ถอดหน้ากาก คนที่ได้ฟังเสียงร้องก็ชื่นชมในความสามารถแต่เมื่อถอดหน้ากากออกมาสิ่งที่ได้รับการปฏิบัติถือว่าคนละขั้วตรงข้าม (สำหรับคนที่แอนตี้เธออยู่แล้ว)
หากดูในคอมเมนต์จะมีการแขวะแตงโม อย่างสนุกสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าอคติที่บังตา แม้เขาจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่คุณเองก็ยอมรับ แต่เมื่อพบความจริงว่าคนที่คุณยอมรับไม่ใช่คนที่คุณชอบ อคติจะถูกดึงมาตัดสินแทนทันที หรือบางทีหากเราอยากจะทำให้คนที่เคยเกลียดมองเรามุมใหม่ก็อาจจะต้องใส่หน้ากากเข้าหากันตลอดก็เป็นไปได้ แต่ถ้าไม่แคร์ก็ปลดหน้ากากนั้นแล้วใช้ชีวิตเป็นปกติสนใจคนที่รักเราเท่านั้นพอ
คนเก่งพร้อมที่กลับมาทุกเมื่อถ้าได้รับโอกาส
ว่ากันตามตรงใครจะไปนึกว่าการมาออกรายการร้องเพลงที่ต้องสวมหน้ากากนั้นจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปได้อย่างไร เชื่อว่าตอนแรกก็ไม่น่าจะมีใครได้จินตนาการถึงเรื่องนี้ออก จากการสัมภาษณ์ทีมงานเดอะรายการ The Mask Singer ในบทความ ‘เจอลึกเบื้องหลัง The mask Singer’ เราได้ทราบว่าช่วงแรกการชวนศิลปิน หรือคนดังที่ร้องเพลงได้มาออกรายการนั้นยากมากๆ เพราะพวกเขานึกภาพไม่ออกว่ามาแล้วได้อะไร แต่ปรากฎว่าคนดังหลายคนที่มาออกรายการนี้ก็ได้สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
ตัวอย่างที่พูดถึงได้ง่าย และน่าประทับใจที่สุดคือหน้ากากจิงโจ้ ‘เป้ก – ผลิตโชค อายนบุตร’ ซึ่งเขาเป็นนักร้องที่มีความสามารถอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เห็นเขาร้องเพลงอีกเลยเกือบสิบปี เรียกได้ว่าแทบจะหายไปจากวงการจนเราลืมเขาไปแล้ว และการที่เขากลับมารายการนี้ก็ไม่ได้หวังจะดัง แต่แค่อยากจะร้องเพลงให้คนได้ฟังเท่านั้น
จนวันที่เขากลับมาร้องเพลงภายใต้หน้ากากจิ้งโจ้ เหมือนกับสปอร์ตไลท์สาดมาที่เขาอีกครั้งหนึ่ง และเหมือนเป็นการเกิดใหม่ เขาได้แสดงความสามารถในการร้องเพลงที่มีมากมายอีกครั้ง และใช้โอกาสบนเวทีนั้นอย่างเต็มที่ ที่สำคัญมีคนยอมรับเขาอย่างมาก และเหมือนจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนเก่งก็คือคนเก่ง จะอยู่ในแสงไฟ หรือออกจากแสงไฟไปแล้วเขาก็ยังเป็นคนเก่ง
บางคนพร้อมที่จะ ‘เหยียด’ โดยที่ไม่รู้ความจริง
หลังจากเปิดหน้ากากออกมาของหน้ากากนักร้องหลายคน ก็เกิดประเด็นดราม่าทั้งเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แต่ที่เป็นดราม่าใหญ่ที่สุดก็เป็นกรณีของเป๊ก ผลิตโชค ที่หลังจากเปิดหน้ากากออกมาเขาโดนกระแสบางส่วน ‘เหยียด’ อยู่สามประเด็นคือคนไทยแต่ทำไมพูดไม่ชัด, ทำศัลยกรรม และรสนิยมทางเพศ ทั้งสามประเด็นนี้ หากพูดกันตามตรง ทั้งหมดนี้คือเรื่องส่วนตัวของเป๊กล้วนๆ และไม่ควรที่จะนำเอามาเป็นประเด็นเหยียด
อย่างเราก็ตามสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนเราพร้อมที่จะตำหนิคนที่เราไม่เห็นชอบ หรือขัดใจในทันที ซึ่งไม่ผิด แต่การแสดงความเห็นในเชิง ‘เหยียด’ นั้นถือว่าผิด อย่างไรก็ตามเสียงเหยียดนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนน้อย และยังมีคนออกมาปกป้องเป๊ก แก้ไขให้ข้อมูลในทางที่ถูกมากมาย จนในที่สุดคนที่เหยียดก็ต้องถอยทัพกลับไป แม้จะไม่อาจเปลี่ยนทัศนคติ หรือธงในใจได้ แต่ก็น่าดีใจที่มีคนที่เข้าใจเขามากกว่า
ทุกคนล้วนมีความสามารถ มากกว่าที่เราเคยรู้
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ทอม Room39 หรือ ‘อิศรา กิจนิตย์ชีว์’ ร้องเพลงเพราะ เพียงแต่ที่ผ่านมาหลายคนไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาเก่งในการร้องเพลงระดับไหน จนวันที่เขาอยู่ภายใต้หน้ากากนั้นแหละ เราจึงได้เห็นว่าพ่อหนุ่มทุเรียนคนนี้ร้องเพลงได้หลายแนว และยังมีเสียงที่ทรงพลังในระดับที่ต้องหยุดฟัง ซึ่งเราเชื่อว่าบางคนเคยมีภาพทอมในอีกมุมหนึ่ง แต่พอเขาได้ระเบิดพลังเสียงบนเวที คราวนี้ความเชื่อเดิมๆ ที่เคยมีเป็นต้องโยนทิ้งไป
หรือใครจะไปคิดว่า ‘เอ๊ะ – จิรากร สมพิทักษ์’ นักร้องที่มีเสียงอบอุ่น นุ่มละมุน และร้องแต่เพลงป๊อบใสๆ มาโดยตลอดจะสามารถร้องเพลงร็อคเสียงโหดได้ แต่เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาทำได้ ภายใต้หน้ากากอีกาดำ ในตอนแรกแทบไม่มีชื่อเขาออกมาเลย กระทั่งตอนที่มีชื่อของเอ๊ะ ลอยมาเป็นครั้งแรก สิ่งแรกที่หลายคนสงสัยคือ เอ๊ะ ร้องเพลงร็อคได้ด้วยเหรอ! ซึ่งเขาทำได้ และทำได้ดี นี่แหละคือความเป็นมืออาชีพ
รวมไปถึงหน้ากากคนอื่นๆ เช่นกันที่ฉากหน้าเราไม่เคยคิดว่าเขาจะมีความสามารถในการร้องเพลงด้วย แม้การร้องเพลงจะไม่ใช่ที่สุดของความสามารถที่ช่วยกอบกู้โลกได้ เพราะบางคนอาจจะเหยียดว่าร้องเพลงเก่งแล้วไงวะ ก็แค่ร้องเพลงเก่ง แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ย้อนกลับไปที่ประเด็นที่เราต้องการจะสื่อก็คือเรื่อง ‘ความสามารถที่ซ่อนอยู่’ ต่างหากนั่นแหละคือสาระสำคัญ
ปลาอยู่ที่ไหนก็ไปตกปลาที่นั่น
สิ่งหนึ่งที่ Work Point ทำให้รายการนี้ฮิตในระดับมหากาฬก็คือการตัดสินใจปล่อยรายการนี้ให้ชมพร้อมกันสดๆ ทุกช่องทางที่มีโดยเฉพาะการปล่อยลงในช่องทางเฟซบุคไลฟ์ ที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยเห็นรายการบันเทิง (ไม่รวมซีรีย์นะ) ไหนกล้าปล่อยของลงบนช่องทางออนไลน์สดๆ เลย เพียงเพราะกลัวว่าช่องทางออนไลน์จะมาแย่งเรทติ้ง
‘ปลาอยู่ที่ไหนก็ไปตกตรงนั้น’ นี่คือแนวคิดของ ‘ชลากรณ์ ปัญญาโฉม’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลทีวีของ Work Point ที่ตัดสินใจออกอากาศรายการนี้พร้อมกันทุกช่องทาง โดยไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องเรทติ้งจะตก ถ้าของมันดีจริง อยู่ช่องทางไหนก็สร้างเรทติ้งได้ทั้งนั้น แถมได้ยอดผู้ชมกว่าหลักแสน และบางครั้งพีคสุดเตะยอดล้านวิว ก็น่าจะแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเขาคิดถูก
ตอนนี้ยอดค่าโฆษณาของช่องเวิร์คพอยท์นั้นพุ่งขึ้นมาสูงกว่าทุกรายการบันเทิงในช่องดิจิตอลทีวี ที่มี ขณะที่ดิจิตอลทีวีเจ้าอื่นได้แต่มองตาปริบๆ เพราะค่าโฆษณาของตัวเองยังแค่หลักพันถึงหลักหมื่น แต่เวิร์คพอยท์ เก็บได้หลักแสน อย่างไรก็ตามถึงจะย้ายบ่อตกปลา แต่ถ้าคันเบ็ด อันหมายถึง Content ไม่ดี ตกให้ตายก็ไม่ได้ปลา