ตอนนี้กระแสของสื่อใหม่ที่เริ่มจะค่อยๆ มาแรง และกลายเป็นที่สนใจทั้งในหมู่ของคนทำคอนเทนต์ออนไลน์ และคนที่เสพคอนเทนต์ออนไลน์ก็คือสื่อใหม่ที่เรียกว่า ‘พอดแคสต์’ หรือ ‘วิทยุออนไลน์’ ที่ฟังได้ทุกที่ทุกเวลา แน่นอนว่าหลายคนที่ฟังพอดแคสต์ อาจเกิดความคิดอยากที่จะทำพอดแคสต์ของตัวเองบ้าง เพราะดูๆ แล้วมันไม่ยากอะไรในการทำ ใช้อุปกรณ์เริ่มต้นที่ไม่ยาก ไม่ซับซ้อน แต่ติดอุปสรรคเล็กๆ ตรงที่ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ในฐานะที่เราทำพอดแคสต์มา 3 ปีกว่าๆ (ช่อง GetTalks จ้า แอบโฆษณาหน่อย) เลยอยากจะพาทุกคนที่สนใจทำพอดแคสต์มาเข้าคลาสพิเศษ ‘Podcast 101 : แนะนำวิธีทำพอดแคสต์แบบง่าย’ เรามั่นใจเลยว่าอ่านจบปุ๊บ คุณจะมีรายการพอดแคสต์เป็นของตัวเองทันทีหลังจากนี้ บทที่ 1 : หาอุปกรณ์อัดเสียงแบบไหนก็ได้ อย่างแรกสุดเลยอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากในการทำพอดแคสต์คือเราต้องมี ‘เครื่องบันทึกเสียง’ ซึ่งเครื่องบันทึกเสียงมีหลายรูปแบบ ทั้งเป็นแบบไมโครโฟนบันทึกเสียงจริงจังที่มี USB สำหรับเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ หรือเชื่อมกับอุปกรณ์มิกซ์เซอร์เพื่อบันทึกเสียง หรือจะใช้แค่เครื่องอัดไฟล์เสียงธรรมดา ไปจนถึงแค่ใช้โทรศัพท์มือถืออัดก็ได้ทั้งนั้น ถ้าถามว่าเราควรเลือกอุปกรณ์แบบไหนจะใช้ไมโครโฟนดีๆ ไปเลย หรือใช้แค่โทรศัพท์อัดเสียงไปก่อน คำตอบก็คือสำรวจความพร้อมของตัวเองก่อนว่าเราพร้อมจะลงทุนแค่ไหน ถ้ายังไม่พร้อมมากก็เอาอุปกรณ์บันทึกเสียงที่มีมาใช้ก่อน เน้นอัดรายการในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน เพื่อจะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าเริ่มต้นด้วยการใช้มือถืออัดจะกาก เพราะหลายรายการพอดแคสต์ก็เริ่มต้นจากการใช้มือถือนี่แหละอัดเสียง (และปัจจุบันก็ยังใช้มือถืออัดอยู่) ให้สรุปชัดๆ อีกทีก็คือเราทุกคนเริ่มต้นทำพอดแคสต์โดยใช้สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวได้เลย แต่ถ้ามีเงินทุน แล้วอยากลงทุนกับสิ่งที่ทำให้สนุกมากขึ้น คุณภาพดีขึ้นค่อยขยับขยายไปใช้ไมโครโฟนดีๆ อย่างไรก็ตามไมโครโฟนชุดเดียวอาจไม่พอ เพราะถ้าอยากให้เสียงเนียนกริบเลย ต้องใช้ไมโครโฟนตามจำนวนคนในห้องอัด บทที่ 2 : หาโปรแกรมตัดแต่งไฟล์เสียง การทำพอดแคสต์ต้องมีอุปกรณ์ช่วยในการตัดแต่งเสียง ซึ่งโปรแกรมตัดแต่งเสียงนั้นมีเยอะมากให้เลือกเลย แต่ถ้าให้แนะนำโปรแกรมตัดแต่งเสียงระดับเบสิคที่ไม่ต้องลงทุนเลย เรามี 3 โปรแกรมมาแนะนำคือ Garageband : โปรแกรมที่ผู้ใช้ Mac OS สามารถดาวโหลดมาติดเครื่องไว้ฟรี โดยโปรแกรมนี้เชื่อมต่อเข้ากับไมโครโฟนแล้วบันทึกเสียงได้เลย สามารถหยุดและตัดระหว่างอัดได้ กรณีที่เราอัดไปอิดิทไป แต่ข้อเสียคือถ้าอัดรายการนานเกิน จะค่อนข้างกินทรัพยากรเครื่องอย่างมาก ไฟล์อาจจะใหญ่สักหน่อย แต่มีคุณภาพแน่นอน Audacity : โปรแกรมบันทึกเสียงที่สามารถหาโหลดได้ฟรีๆ ทำหน้าที่บันทึกเสียงเหมือนฟีเจอร์ใน Garageband คืออัดได้ บันทึกได้ และตัดเสียงเพิ่มเข้าไปได้ ไฟล์ที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่า Garageband ซึ่งทำให้ไม่หนักเครื่อง และความละเอียดของไฟล์เสียงที่ได้จาก Audacity ก็เพียงพอจะทำพอดแคสต์แล้ว Moo0 VoiceRecorder โปรแกรมอัดเสียงที่ทำได้ทุกอย่างที่โปรแกรมบันทึกเสียงควรจะมี ที่สำคัญรองรับภาษาไทยด้วย และใช้งานง่ายมากกกกก อันที่จริงแล้วโปรแกรมอัดเสียง ที่สามารถเชื่อมต่อกับไมโครโฟน แล้วเพิ่มเอฟเฟค ตัดเสียง เพิ่มเสียง และอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการจบงานไฟล์เสียงนั้นมีเยอะมากๆ ลองโหลดมาใช้ดูได้ เพราะทุกโปรแกรมที่แนะนำนั้น ฟรี! บทที่ 3 : หาพื้นที่สำหรับปล่อยไฟล์ Podcast อีกหนึ่งไฮไลต์ที่สำคัญและเป็นคำถามบ่อยมากๆ ก็คือถ้าทำพอดแคสต์ต้องเอาไฟล์ไปไว้ที่ไหนถึงจะเรียกสิ่งที่เราทำว่าเป็นพอดแคสต์ และตอนนี้มีผู้ให้บริการพื้นที่สำหรับทำพอดแคสต์มากน้อยแค่ไหน คำตอบก็คือมีไม่เยอะมาก แต่ก็มีตัวเลือกที่น่าสนใจ และทุกคนสามารถเลือกได้ตามความสะดวก 3 ช่องทางคือ Soundcloud : เว็บไซต์สำหรับฟังพอดแคสต์ และทำพอดแคสต์ ใครที่มีไฟล์เสียงสามารถสร้างช่องของตัวเองแล้วอัปไฟล์เสียงขึ้นเป็นพอดแคสต์ได้เลย สามารถใช้งานได้ฟรีอัปโหลดไฟล์ไม่จำกัดจำนวน แต่รวมแล้วไม่เกิิน 180 นาที ถ้าอยากอัปเกรดและใช้บริการเซอร์วิสต่างๆ ในเว็บแบบไม่มีลิมิตก็จ่ายเพิ่มปีหนึ่งเฉลี่ย 4,500 – 5,000 บาท ซาวด์คลาวด์มีแอปด้วย แต่ใช้ได้แค่ดู Stat กับแก้ไขแคปชั่นเท่านั้น ไม่สามารถอัปโหลดไฟล์ได้ (ข้อดีคือ Stat โคตรละเอียด เอาไปขายโฆษณาได้) Podbean : เว็บไซต์และแอปสำหรับทำพอดแคสต์ที่ครบเครื่องมากๆๆ เพราะใช้งานได้ง่าย ที่น่าสนใจคือแอป Podbean สามารถอัดเสียงผ่านแอป ตัดต่อเสียง แล้วอัปไฟล์ขึ้นช่องพอดแคสต์ผ่านแอปได้เลย เวรี่ง่าย! เบื้องต้นทดลองใช้ฟรี 300 นาที ไม่จำกัดจำนวนไฟล์ จากนั้นอัปเกรดเป็นรายเดือนได้เริ่มต้นเดือนละ 270 บาท สำหรับการอัปโหลดไฟล์แบบไร้ลิมิต anchor : เว็บไซต์และแอปสำหรับทำพอดแคสต์ที่คุณสมบัติเหมือน Podbean เกือบทุกอย่าง ทั้งใช้สำหรับฟังพอดแคสต์ อัปโหลดพอดแคสต์ สร้างสถานีพอดแคสต์ สามารถใช้แอปอัดเสียง ใส่เพลง แล้วอัปไฟล์เสียงขึ้นเป็นพอดแคสต์ได้เลย แต่ที่น่าสนใจก็คือ Anchor ให้บริการฟรี! ย้ำอีกครั้งว่าฟรีแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ สำหรับมือใหม่ หรือคนที่อยากทดลองทำพอดแคสต์เหมือนกับเขียนบล็อค แนะนำว่า Anchor นี่แหละ ดีจริง แถมยังเชื่อต่อกับบริการฟังพอดแคสต์แพลตฟอร์มอื่นได้อย่างง่าย บทที่ 4 : ต้องเชื่อมรายการไปช่องทางฟังพอดแคสต์อื่นๆ ด้วย ผู้ฟังพอดแคสต์ตอนนี้ไม่ได้ฟังแค่ที่ Soundcloud Podbean หรือ Anchor แต่หลายคนเลือกที่จะฟังแพลตฟอร์มอื่นที่สามารถฟังพอดแคสต์ได้ และหน้าที่ของผู้ผลิตพอดแคสต์คือต้องกระจายรายการของตัวเองไปยังช่องทางเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ได้เพื่อให้คอนเทนต์ถึงคนฟัง ซึ่งเจ้าของพอดแคสต์ต้องกดอนุญาตให้ทุกแพลตฟอร์ตที่เกี่ยวกับการฟังพอดแคสต์ ดึงไฟล์ไปได้ผ่านทาง rss feed ก่อนซึ่งไม่ยากเลยในการตั้งค่า และสำหรับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในการฟังพอดแคสต์มีตัวอย่างเช่น Podcast : แอปฟังพอดแคสต์ของแอปเปิ้ลที่ได้รับความนิยมในหมู่คนฟังที่ใช้ iOS คนฟังไม่ต้องตั้งค่าอะไรเข้าไปแล้วกดฟังได้เลย ส่วนเจ้าของพอดแคสต์ต้องลงทะเบียนก่อน และต้องมี apple ID ถึงจะเปิดช่องพอดแคสต์ได้ (อ่านวิธีเชื่อมพอดแคสต์สู่ Podcast ได้ ที่นี่) Spotify : แอปฟังเพลงยอดฮิตที่เพิ่มคอนเทนต์พอดแคสต์ลงไป เนื่องจากเป็นแอปที่ฟังเพลงก็ได้ ฟังพอดแคสต์ก็ฟรี เลยมีคนใช้ช่องทางนี้ฟังพอดแคสต์เยอะขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเจ้าของก็ต้องลงทะเบียนก่อนเช่นกันหากอยากจะมีรายการตัวเองอยู่ใน Spotify เมื่อก่อนลงทะเบียนยากมาก แต่ตอนนี้ง่ายมาก (อ่านวิธีเชื่อมพอดแคสต์สู่ Spotify ได้ ที่นี่) Overcast : แอปฟังพอดแคสต์ที่มีให้โหลดทุก OS ใช้งานฟรี เสถียร แต่หน้าตาอาจจะไม่ค่อยเท่เท่าไหร่ ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ ถ้าเจ้าของช่องปล่อยฟรี Rss Feed ไฟล์จะถูกดึงไปอัตโนมัติ Castbox : แอปฟังพอดแคสต์ ที่สามารถทำพอดแคสต์ได้ด้วยหน้าตาคล้ายๆ Soundcloud แต่ใช้ง่ายกว่ามากๆ ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ ถ้าเจ้าของช่องปล่อยฟรี rss Feed ไฟล์จะถูกดึงไปอัตโนมัติ แต่จะมีโฆษณาแทรก และมีการจำกัดการซับสไคร ถ้าอยากฟังเยอะก็ต้องจ่ายนะ Google Podcasts : แอปฟังพอดแคสต์ของ Google ที่เพิ่งพัฒนามาได้ไม่นาน และมีทุกรายการที่อนุญาตให้ดูด rss feed ได้ ซึ่งแอปนี้ใช้ได้เฉพาะ Android เท่านั้น บทที่ 5 : เตรียมคอนเทนต์ให้พร้อม ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในการทำพอดแคสต์คือ เราต้องมีคอนเทนต์ที่มั่นใจก่อนว่าสามารถทำได้อย่างคล่อง หาข้อมูลมาเล่าได้ตลอด แต่เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่คนฟังมากที่สุด เพราะจักรวาลพอดแคสต์ในไทยมีหลายแนวตั้งแต่รายการวาไรตี้ รายการผี รายการพัฒนาตัวเอง รายการให้ความรู้เฉพาะด้าน ถ้าคนจะฟังแล้วติดก็ต้องอยู่ที่ศิลปะการนำเสนอของแต่ละคน ส่วนคอนเทนต์ความยาวเท่าไหร่กำลังดี มีคนฟังเยอะก็ไม่สามารถตอบฟันธงได้ เพราะรายการที่ดังคนฟังเยอะก็มีความยาวที่ต่างกันตั้งแต่ 8 นาที ไปจนถึง 3 ชั่วโมง ที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของตัวรายการที่คุณอยากทำ รายการสั้นๆ อาจจะมีข้อได้เปรียบตรงที่ฟังไม่นานคนฟังก็อาจจะเลือกติดตาม หรือเลิกติดตามได้อย่างรวดเร็วถ้าไม่ตรงจริต แต่รายการยาวๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนฟังเลย ถ้าคนที่ชอบฟังอะไรเพลินๆ ฟังไปได้เรื่อยๆ เขาก็จะเลือกฟังรายการยาวๆ ในบางโอกาส สุดท้ายเหนือสิ่งอื่นใดคือความสม่ำเสมอ ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และมั่นใจว่าคอนเทนต์เราดีพอ เป็นประโยชน์กับคนฟัง ขยันทำโซเชียลในการโปรโมทรายการ ไม่นานจะมีคนมาฟังเราเยอะขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน