ครั้งแรกของชีวิตที่ได้บินออกนอกประเทศ!! โดยจุดหมายในครั้งนี้เป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของประเทศไทย ที่มีสัญลักษณ์เป็น Merlion นั่นก็คือ ประเทศสิงคโปร์นั่นเองงงงงงงง เย่ๆๆๆ บอกเลยว่าตื่นเต้นมากที่จะได้ไปต่างบ้านต่างเมืองครั้งแรก ซึ่งครั้งแรกนี้ก็มีแต่ความประทับใจล้วนๆ ตั้งแต่ออกจากสนามบินเลย เพราะที่นี่ต้นไม้เยอะมวากกกกก (เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ด้วยนะ ไม่ได้แคระแกร็นนาจา) แล้วก็เรื่องของความสะอาดคือยกให้เขาจริงๆ อ่ะ ประทับใจ ~ ทริปนี้ไปทั้งหมด 3 วัน 2 คืน ซึ่งเอาจริงๆ แค่ 3 วันก็ได้ไปแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของสิงคโปร์มาเกือบหมดแล้ว (ยกเว้นเมอร์ไลอ้อน ขำป่ะ ไปสิงคโปร์แต่ไม่ได้ไปถ่ายสิงโตพ่นน้ำอะแกรร ฮ่าๆๆๆๆ) จริงๆ เราประทับใจทุกที่เลย แต่วันนี้ยกมาแค่ 5 ที่ก่อนละกันเนอะ เพราะที่ยกมาเนี่ยคือชอบ อยากให้ทุกคนลองไปตามรอยกันนะ ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีที่ไหนบ้าง Garden by the bay สวนในอ่าว สถานที่เช็คอินสุดฮิตในสิงคโปร์ ตอนแรกเราก็งงว่าจะไปมีสวนในอ่าวได้ยังไง แต่พอได้ด้วยตาเห็นถึงจะเข้าใจ ว่าเขาสามารถสร้างพื้นที่สีเขียวในอ่าวได้จริงๆ ด้วยการถมทะเลสร้างแผ่นดินขึ้นมายังไงล่ะจ๊ะ! ไม่ได้เป็นเพียงแค่สวนเล็กๆ นะ แต่เป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีหลายโซนและสวนหลายแบบ โซนที่เด่นๆ ก็จะมี Supertree, Flower Dome และ Cloud Forest ซึ่งการสร้างสวนของที่นี่เป็นการสร้างสวนประดับที่ยั่งยืนและออกแบบสถาปัตยกรรมได้เจ๋งมากๆ ตามไปดูกันดีกว่าว่าเจ๋งยังไง Supertree สวนในแนวดิ่ง สถาปัตยกรรมโครงเหล็กทรงต้นไม้ จำนวน 18 ต้น โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ Silver Garden (3 ต้น), Golden Garden (3 ต้น) และ Supertree Grove (12 ต้น) ซึ่งทุกต้นจะมีต้นไม้ปลูกตามแนวดิ่งในบริเวณลำต้น โดยด้านบนจะเป็นโซลาร์เซลล์ ที่เป็นแหล่งรวมพลังงานแสงอาทิตย์และแปลงให้เป็นไฟฟ้าที่ใช้ใน Garden by the Bay ทั้งหมด โดยในโซน Supertree Grove จะมีสะพานเชื่อมระหว่างต้นให้เราขึ้นไปเดินชม เห็นบรรยากาศรอบๆ จากมุมสูงได้ด้วย (น่าเสียดายที่วันที่เราไปอากาศไม่ค่อยดี ค่อนข้างอึมครึมเขาเลยไม่เปิดให้ขึ้นไป U.U) นอกจากนี้ด้านบนของต้นที่สูงที่สุดใน Supertree ซึ่งถือว่าเป็นจุดศุนย์กลางของ Garden by the Bay ยังเป็นบาร์ดาดฟ้า เปิดให้คนขึ้นไปกินลมชมวิวจากได้ด้วยนาจา ในตอนกลางคืนสวนแนวดิ่งเหล่านี้จะดูมีชีวิตมากกว่าในตอนกลางวันจากแสงสีที่เปิดรวมไปถึงมีการแสดง 2 รอบ คือ 19.45 น. และ 20.45 น. ให้ทุกคนได้ตื่นตาตื่นใจกับแสงสีสุดตระการตา Flower Dome โดมดอกไม้แสนสวยย คือ เขาจะแต่งสวนตามโซนต่างๆ ในโลก เช่น สวนแบบอเมริกาใต้ ที่จะเน้นพวกต้นปาล์ม สวนแบบแอฟริกาใต้ ที่จะดูแห้งๆ ไม่ค่อยมีดอกไม้ หรือสวนแบบแคลิฟอเนีย ที่จะมีดอกไม้บานสะพรั่งไปหมด นอกจากนั้นยังมีต้นมะกอก (Olive) 1,000 ปี รวมไปถึงต้นเบาบับ (Baobabs tree) ต้นไม้ที่แปลกที่สุดในโลก เพราะมีลำต้นขนาดใหญ่ที่กักเก็บน้ำไว้ภายใน ซึ่งสวนเหล่านี้จะเป็นสวนถาวรซึ่งมีอยู่ตลอด แต่ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่สวนตรงกลางที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นหลายๆ ฤดู อย่างตอนที่เราไป เขาจัดสวนด้วยดอกทิวลิป ซึ่งอยู่ในช่วง Tulipmania สวยมากเวอร์ เราไม่เคยเห็นดอกทิวลิปที่เยอะขนาดนี้มาก่อน มีหลายสี หลายพันธุ์ ดอกไม้ก็สดมากจนนึกว่าของปลอมเลยอ่ะ แต่จุดที่เรารู้สึกตื่นเต้นกับ Flower Dome ที่สุดไม่ใช่ต้นไม้ กลับเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นโดมกระจก รวมไปถึงวิธีที่ทำให้อากาศภายในโดมเย็นสบายโดยไม่ใช้แอร์ คือ ความเย็นจากในโดมมาจากโซลาร์เอนเนจี ใช้พลังงานจากธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้า โดยส่งความเย็นมาทางท่อน้ำใต้โดมควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 22 องศา ทำให้อากาศภายในเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้จะบานสวย หลังคาโปร่งทำให้ไม่ต้องใช้ไฟให้ความสว่าง ทุกอย่างนึกถึงสิ่งแวดล้อมหมดเลย Cloud Forest ป่าในเมฆ บรรยากาศหมอกจางๆ ทำให้นึกว่าเรากำลังลอยอยู่บนฟ้า โดยไฮไลท์หลักของ Cloud Forest คือการเนรมิตป่าและน้ำตกขนาดใหญ่ขึ้นมา ให้เราขึ้นไปอยู่จดสูงสุดของป่า คือน้ำตก แล้วค่อยๆ เดินวนลงมา โดยระหว่างทางเราก็ตะได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และมีละอองน้ำเย็นๆ ฟุ้งกระจายอยู่รอบตัวเราด้วย ArtScience museum คนที่ชื่นชอบงานศิลปะจะต้องไม่พลาดอารมณ์เหมือนเป็นหอศิลป์ที่ผสมผสานงานศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน โดยแบ่งเป็นชั้นๆ หลักๆ จะแสดงงานอยู่ที่ชั้นใต้ดินและชั้น 3 โดยชั้นใต้ดินจะเป็นชั้นที่มีงานแสดงหลักอย่างถาวร ส่วนชั้น 3 จะเปลี่ยนการจัดแสดงงานไปเรื่อยๆ สำหรับชั้นใต้ดินงานแสดงหลักคือ Future World อย่างที่บอกไปว่าเป็นการรวมงานศิลปะเข้ากับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยแบ่งเป็น 4 ธีม คือ Nature: งานศิลปะที่ฉายอยู่ในห้องสีเหลี่ยมปิดทึบ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีเสียงสุดตระการตาเกี่ยวกับธรรมชาิอยู่รอบๆ ตัว ราวกับเราหลุดเข้าไปอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีคลื่นทะเลซัดสาด ทั้งเสียงและภาพที่เหมือนกับเราลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลที่ดำมืด Town: งานศิลปะที่ให้เรามีส่วนปฏิสัมพันธ์กับชิ้นงาน โดยเน้นให้เด็กๆ ที่ไปเข้าใจเกี่ยวกับเมืองผ่านการเล่น ให้เราเปลี่ยนแปลงผังเมืองได้ตามใจ ทั้งบ้าน ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ สะพาน อยากให้อะไรอยู่ตรงไหนก็จัดไปเลย Park: สวนสุดหรรษาที่ให้ทุกคนได้มาลองเล่นกิจกรรมอย่างต่อบล็อกและวิ่งไล่ลูกบอลไฟ Space: ธีมสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของนิทรรศการ ทำให้ทุกคนหลุดเข้าไปในอวกาศที่มีดวงดาวนับล้านส่องแสงสว่างอยู่รอบตัว อยากให้ทุกคนไปเห็นธีมนี้ด้วยตาตัวเองที่สุดแล้วล่ะ จุดเด่นของนิทรรศการนี้ คือการให้ทุกคนได้มีส่วนสร้างศิลปะ และเป็นส่วนหนึ่งกับการจัดแสดง ด้วยการให้ระบายสีภาพแล้วสแกนขึ้นโชว์กลายเป็นงานศิลปะชิ้นเอกที่เราสร้างขึ้นมากับมือตามจุดต่างๆ อีกด้วย ส่วนชั้นที่ 3 คือนิทรรศการ Art form the Streets เป็นการแสดงงานสตรีทอาร์ตจากนักกราฟิตี้ชื่อดัง โดยนิทรรศการเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการต่อต้านวัฒนธรรมปละวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในรูปแบบศิลปะร่วมสมัย ซึ่งจัดในช่วงนี้เท่านั้น Kampong glam + Hajilane ฮาจิเลนเป็นตรอกเล็กๆ ที่อยู่ในย่านกัมปง แกลม ย่านวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ แนะนำให้ไปมากๆ เพราะจะได้เห็นการผสมผสานวัฒนธรรมเก่าและไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ อย่างลงตัว โดยฮาจิเลนจะเป็นสถานที่แนวๆ แหล่งวัยรุ่นของสิงคโปร์ เป็นตรอกเล็กๆ ที่รวบรวมสตรีทอาร์ตไว้อย่างมีสีสันคัลเลอร์ฟูลสุดๆ สถาปัตยกรรมที่นี่จะเป็นแบบชิโนโปรตูกิส คือ มีหน้าต่างเยอะ หลังคาสูง หน้าประตูแคบ แต่ลึก ซึ่งเขาจะไม่มีการทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ เพราะมองว่าควรจะอนุรักษ์ไว้แต่เพิ่มเติมความทันสมัยเข้าไปจะดีกว่า ใครที่ได้ไปที่นี่นอกจากจะได้ของฝากกระจุกกระจิกติดไม่ติดมือกลับมาแล้ว ยังได้รูปสวยๆ อีกเพียบแน่นอน เพราะที่นี่มีมุมถ่ายรูปเต็มไปหมดจนเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ion Orchard ออชาร์ดแหล่งรวมห้างสรรพสินค้าให้ทุกคนได้ชอปปิงกันอย่างจุใจ ซึ่งห้างที่เราจะพาไปคือ ไอยอน (ION) สถานที่รวมแบรนด์เนม ที่เลือกไปที่นี่เพราะว่าเขามีทัวร์พาชม ION ฟรีๆ ทุกวันเวลา 10.00 น. ด้วยยยย โดยเราสามารถโทรจองหรืออีเมลไปก็ได้ สิ่งที่ทาง ION จะพาเราทัวร์คือ ชมศิลปะและชิมอาหารพื้นเมืองของสิงคโปร์ สำหรับศิลปะก็จะเป็นประติมากรรมที่ตั้งใจสร้างขึ้นมาไว้ที่ ION เลย จะมี 3 อย่าง คือ Nutmeg (ลูกจันทน์เทศ) เป็นประติมากรรมที่สร้างไว้ให้ระลึกถึงการผสมผสานการลงทุนระหว่างชาวสิงคโปร์และชาวฮ่องกง มีน้ำหนักถึง 2,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ประติมากรรมอย่างที่ 2 คือ ประติมากรรมคนเมือง ที่สร้างขึ้นให้เห็นถึงความหลากหลายของผู้คน และผู้สร้างผลงานชิ้นนี้มองว่าศิลปะควรอยู่กลางแจ้ง เพื่อให้ทุกคนที่ผ่านไปมาสามารถเข้าถึงได้ ส่วนประติมากรรมอย่างสุดท้าย คือ ประติมากรรมน้ำตก เป็นประติมากรรมที่เคลื่อนไหวได้ มีการหมุนเปลี่ยนให้เหมือนน้ำตกกำลังไหล ซึ่งจุดที่อยู่ใต้น้ำตกคือจุดศูนย์กลางของห้างนี้ ในส่วนของอาหารพื้นเมือง ไกด์ก็จะพาเราไปชิมหลายร้านมากๆ ตั้งแต่ของคาวยันของหวาน เรียกว่าชิมจนอิ่ม ข้าวกลางวันไม่ต้องกินกันแล้วจ้า ที่ได้ไปชิมก็จะมี ขนมปังสังขยา (สังขยาที่สิงคโปร์จะสีอ่อนมากๆ ตัวครีมจะเป็นสีใสๆ ไม่ข้นเหมือนบ้านเรา) ขนมปารานากัน (เหล่าขนมที่ชอบเป็นของฝากจากสิงคโปร์ คุกกี้สิงคโปร์ ขนมสับปะรด ขนมเค้กที่เป็นชั้นๆ) ร้านหมูแผ่น (รวมเหล่าหมูแผ่น หมูหย็อง ซึ่งมีทั้งปลา หมู ไก่ กุ้ง หวานๆ หอมถ่านมากๆ) นอกจากขนมแล้วก็ยังมีอาหารคาวด้วย โดยที่ ION จะมีชั้น Food Court ซึ่งอยู่ที่ชั้น B4 เป็นแหล่งรวมอาหารคาวพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ อย่างบะกุ๊ดเต๋ ข้าวมันไก่สิงคโปร์ หมี่ฮกเกี้ยน ไก่สะเต๊ะ ปาท่องโก๋และลอดช่องสิงคโปร์จ้าาาาาา ทั้งหมดที่กล่าวไปเราจะได้ชิมทุกอย่างเลยนะเออ บอกแล้วว่าอิ่มจนไม่ต้องหาข้าวกินเองเลย ฮี่ๆๆ เอ้อ ลืมบอกว่าถ้าเป็นชาวต่างชาติที่เข้าร่วมทัวร์จะได้คูปองอาหารฟรี 5 ดอลล่าร์สิงคโปร์ด้วยนะ!! ไฮไลท์ที่สำคัญของตึก ION คือ เราสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของสิงคโปร์ได้ที่ชั้น 55 (ION sky) วิธีการขึ้นก็แสนง่าย เพียงแค่ ซื้อสินค้าภายในห้าง ION ครบ 20 เหรียญต่อคน ต่อวัน ได้ขึ้นไปชมวิวที่ ION sky แล้วล่ะ โดยเอาใบเสร็จไปแลกคิวอาร์โค้ดที่จุดบริการชั้น 4 สำหรับเวลาเปิดให้ขึ้นคือ 14.00-19.45 สามารถขึ้นเป็นรอบๆ รอบละ 45 นาที ส่วนวิวนั้นไม่ต้องพูดถึง สวยมากกกกกกกก เราจะเห็นว่าสิงคโปร์กลายเป็นเมืองเล็กจิ๋วที่อยู่ใต้เท้าของเรา นอกจากนี้ยังเห็นภูเขาที่มาเลเซียและเกาะที่อินโดด้วยนะ เรียกว่าคุ้มๆๆๆ Clarke Quay คลากคี โดย ‘คี’ แปลว่าท่าเรือ ตึกเก่ากว่า 150 ปี แต่ปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น รัฐบาลพยายามบูรณะให้สามารถเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้คนหลงลืมอดีต ซึ่งเมื่อตกกลางคืนท่าเรือแห่งนี้จะดูมีชีวิตชีวาจากแสงสี และความคึกคักจากนักท่องเที่ยวที่มาท่องราตรีที่นี่ ไฮไลท์คือ สีไฟบนโดมจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ใช้เวลายืนมองไฟสักพักก็รู้ว่ามันสวยมากๆ เพราะบรรยากาศตอนกลางคืนที่มืดตื๋อทำให้ไฟจากโดมโดดเด่นขึ้นมาทันที เมื่อมองไปอีกฝั่งเราจะเห็นเรือลอยฟ้า Marina Bay Sand อยู่ลิบๆ อยากบอกว่าบรรยากาศดีมากๆ เลยค่ะ อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นท่าเรือ ดังนั้นในช่วงกลางคืนก็จะมีเรือแล่นอยู่บนผืนน้ำที่สะท้อนแสงไฟจนระยิบระยับ ส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นร้านนั่งชิล แต่เราก็สามารถนั่งชิลๆ ที่ท่าน้ำได้นะ จุดเด่นของคลากคลีก็คือนั่งกินลมชมบรรยากาศนี่แหละ เรารู้สึกว่าสิงคโปร์โดดเด่นในเรื่องของสถาปัตยกรรมและการผสมผสานวัฒนาธรรมเก่าและใหม่เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งๆ ที่สิงคโปร์เป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี แต่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้มองว่าของเก่า จำเป็นต้องถูกทำลาย แต่จะทำยังไงให้ของเก่าเหล่านั้นถูกเพิ่มมูลค่าและไม่ถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา ถ้าใครได้มีโอกาสไปสิงคโปร์ อย่าลืมไป 5 แลนด์มาร์คนี้นะ แต่จริงๆ แล้ว ถึงสิงคโปร์จะเป็นเกาะเล็กๆ แต่มีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะ แถมยังอยู่ใกล้ไทยสุดๆ ใครที่กำลังอยากไปต่างประเทศ สิงคโปร์ก็เป็นตัวเลือกที่เจ๋งเลยค่ะ ขอบคุณการท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่ให้โอกาสได้ไปเปิดประสบการณ์สุดประทับใจที่สิงคโปร์ในคราวนี้ด้วยนะคะ
