หลังก่อตั้งขึ้นในปี 1985 สตูดิโอจิบลิก็ได้ฝากผลงานภาพยนตร์เรื่องยาวไว้ในความทรงจำของทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่แล้วถึง 20 เรื่อง ยังไม่รวมบรรดาแอนิเมชันฉายทางโทรทัศน์และการ์ตูนสั้นอีกมากมาย ผลงานของสตูดิโอจิบลินั้นไม่ได้เพียงดูง่าย เสพง่าย และแฝงแง่คิดดีๆ ให้ค้นหา แต่ยังมีความเป็นสากล จนไม่แปลกใจที่จิบลิจะกลายเป็นตัวแทนชาวอาทิตย์อุทัยไปต่อสู้ในเวทีระดับโลกอย่างออสการ์อยู่บ่อยครั้ง อะไรทำให้คนทั่วโลกรักจิบลิ นี่คือภาพยนตร์แอนิเมชัน 5 เรื่องของจิบลิ ที่จะทำให้คุณรู้จัก และรักจิบลิเช่นเดียวกัน My Neighbor Totoro โทโทโร่เพื่อนรัก แทบไม่มีใครไม่เคยเห็น “โทโทโร่” มาสคอตตัวอ้วนตุ้ยของสตูดิโอจิบลิที่เป็นตุ๊กตาและแปะอยู่ตามสินค้าต่างๆ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบตัวนี้ แต่น้อยคนที่จะรู้จักว่ามันเป็นตัวอะไร มาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง และน้อยลงไปอีกที่จะรู้ว่าโทโทโร่เพื่อนรักนั้น สมัยเข้าฉายใหม่ๆ เป็นภาพยนตร์ที่มีรายได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สวนทางกับกระแสนิยมในตัวละครโทโทโร่ในปัจจุบันแบบฟ้ากับเหว โทโทโร่เพื่อนรักเล่าเรื่องราวของสองพี่น้องซัตสึกิและเมย์ ที่ย้ายตามพ่อมาอยู่ในชนบทเพื่อให้เดินทางไปเยี่ยมแม่ที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลได้สะดวก วันหนึ่งเมย์ได้พบสิ่งมีชีวิตประหลาดจึงตามไปจนเจอโทโทโร่ ตัวประหลาดยักษ์ใหญ่นอนกรนคร่อกๆ อย่างสบายอารมณ์อยู่ สองพี่น้องกลายเป็นเพื่อนกับโทโทโร่ และได้รับความช่วยเหลือจากเจ้ายักษ์ตัวนี้หลายครั้งหลายครา เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันอบอุ่นหัวใจที่ควรให้เด็กๆ ดูเป็นอย่างยิ่ง Spirited Away มิติวิญญาณมหัศจรรย์ ระหว่างทางที่จิฮิโระและครอบครัวย้ายบ้านมายังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง พ่อแม่ของเธอก็ถูกสาปให้กลายเป็นหมูเพราะไปกินอาหารสำหรับเลี้ยงเทพเจ้าเข้า จิฮิโระจึงเข้าไปยังดินแดนประหลาดของเหล่าภูตด้วยความช่วยเหลือจากเด็กหนุ่มชื่อฮาคุ และเข้าทำงานที่โรงอาบน้ำของแม่มดยูบาบะโดยเปลี่ยนชื่อเป็น “เซ็น” เพื่อหาโอกาสปลดปล่อยพ่อแม่ของเธอ เพราะความรู้สึกของผู้กำกับมิยาซากิ ฮายาโอะ ที่ต้องการจะสร้าง “การ์ตูนที่เด็กๆ ต้องการอย่างแท้จริง” ขึ้นมา ภาพยนตร์ซึ่งจะกลายเป็นภาพจำของสตูดิโอจิบลิในเวลาต่อมานี้ จึงสามารถเอาชนะการ์ตูนจากฝั่งตะวันตกแล้วคว้าออสการ์มาครอบครอง ซ้ำยังทำเงินได้ถึง 3 หมื่นล้านเยนในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยกันบอกต่ออย่างทุกวันนี้ ครองอันดับ 1 ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 15 ปี ไม่มีใครมาล้มแชมป์อีกด้วย Howl’s Moving Castle ปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ โซฟี ช่างทำหมวกสาววัย 18 ถูกพ่อมดหนุ่มเจ้าเสน่ห์ชื่อ ฮาวล์ ช่วยชีวิตไว้ระหว่างทาง แม่มดร้ายที่หลงรักฮาวล์อยู่จึงอิจฉาและสาปเธอให้กลายเป็นหญิงชรา เธอระเห็จออกจากบ้านมาจนถึงปราสาทเวทมนตร์ของฮาวล์ ซึ่งเคลื่อนที่ได้ด้วยพลังของปีศาจไฟนามว่าคาลซิเฟอร์ และได้พบกับเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ มากมาย ฮาวล์เป็นการ์ตูนแฟนตาซีสุดกลมกล่อมที่อธิบายความเป็นจิบลิไว้ได้เป็นอย่างดี พลาดไม่ได้หากต้องการทำความรู้จักแอนิเมชันแบบจิบลิ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ดูมีชีวิตชีวาราวกับเวทมนตร์จริงๆ นอกจากภาพยนตร์จะเตือนเราไม่ให้หลงลืมความเยาว์วัยในตัวแล้ว ยังแฝงแนวคิดเรื่องการต่อต้านสงครามไว้อย่างรุนแรงอีกด้วย Princess Mononoke เจ้าหญิงโมโนโนเกะ เจ้าชายอาชิตากะออกเดินทางตามหาเทพแห่งพงไพรเพื่อถอนคำสาปของปีศาจหมูป่าในตัวเขา และได้พบกับซัน ลูกเลี้ยงของเทพหมาป่าโมโร เขาพาเธอที่บาดเจ็บมาถึงโลหะนคร และถูกชักชวนให้เข้าร่วมในมหาสงครามแย่งชิงผืนป่าของหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งหมูป่า หมาป่า มนุษย์ และเขาจำเป็นจะต้องหยุดมัน ก่อนที่มันจะนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ เจ้าหญิงโมโมโนเกะใช้ทุนสร้างทั้งสิ้นกว่า 2 พันล้านเยน ถือเป็นแอนิเมชันที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในยุคนั้น จึงไม่แปลกที่งานภาพของเรื่องนี้ออกมาสวยงามตระการตาระดับมหากาพย์ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเนื้อหาหนักและรุนแรงที่ยังคงถูกยกย่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน ในเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ My Neighbors The Yamadas ยามาดะ ครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา แอนิเมชันฉายโรงที่ดูเขี่ยๆ เรื่องนี้แบ่งตัวหนังออกเป็นตอนสั้นๆ 5-6 นาที 20 ตอนเรียงต่อกัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันแสนวุ่นวายของครอบครัวยามาดะ ซึ่งประกอบไปด้วยคุณย่า พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว และหมาอีก 1 ตัว ผ่านลายเส้นคล้ายดินสอสีไม้แบบเด็กๆ แต่เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะไม่เด็กแล้ว ยังอาจจะเป็นอนิเมที่ “ผู้ใหญ่ดู” ที่สุดในบรรดาผลงานของจิบลิแล้วก็ว่าได้ ถึงจะเป็นการ์ตูนจิบลิที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง และยังเป็นประเภทไม่แฟนตาซีซึ่งไม่ใช่แนวเด่นของจิบลิ แต่เพื่อนบ้านยามาดะก็เป็นแอนิเมชันอันดับ 1 ของจิบลิในใจผมด้วยหลายๆ เหตุผล โดยเฉพาะการที่มันเป็นเรื่องจริงที่เราและครอบครัวต้องเผชิญแน่นอนในชีวิตนั่นแหละ ที่ทำให้วันธรรมดาทุกวันเป็นความแฟนตาซีที่หาอะไรมาเทียบไม่ได้อีกแล้ว ผลงานสุดท้ายหลังการประกาศวางมือของหัวเรือใหญ่อย่างมิยาซากิ ฮายาโอะ แห่งสตูดิโอจิบลิคือ When Marnie was there ฝันของฉันต้องมีเธอ ซึ่งเข้าฉายในปี 2014 ทำให้ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเราได้เห็นปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในวงการแอนิเมชันญี่ปุ่นเกิดขึ้นด้วยมือของผู้กำกับหน้าใหม่จำนวนมาก จนหลายคนเชื่อว่าจิบลินั้น “หมดยุค” ไปแล้ว แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ภาพยนตร์แอนิเมชันของจิบลินั้นมีมนตร์ขลังที่ทำให้มันจะไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็สามารถทำให้คนหลงรักได้ไม่ยาก https://www.youtube.com/watch?v=ztJ8A5ihmyE ปีที่ผ่านมานี้จิบลิก็เข้าร่วมกับสตูดิโอจากต่างชาติเป็นครั้งแรกเพื่อผลิตผลงาน The Red Turtle ที่ชาวไทยจะได้ดูกันในช่วงต้นปีหน้า นอกจากนั้น ล่าสุดฮายาโอะ มิยาซากิ เองก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมตัวกลับมาอีกครั้ง การกลับมาของเขาจะสร้างแรงกระเพื่อมได้อีกครั้งหรือไม่ และผลงานใหม่ของสตูดิโอจิบลิจะเป็นแบบไหน วงการแอนิเมชันญี่ปุ่นตอนนี้น่าสนใจจริงๆ