22 พฤษภาคมนี้ เลือกใครดี? เปิดศึก 6 ผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ ตามหานักสู้เพื่อคนกรุงเทพ ต้องบอกว่าโลกในปัจจุบันมีโอกาสมากมายให้เราเลือกหยิบ เลือกคว้าไว้ได้จนบางทีเราเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเลือกอะไรดี เพราะสิ่งนั้นก็ดี อีกสิ่งก็น่าสนใจ จนทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ หลาย ๆ คนอาจจะพบเจอกับปัญหาเหล่านี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะเรื่องของการเลือกงาน เลือกซื้อของ เลือกร้านอาหารและอีกมากมายที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกยากอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งปัญหาเหล่านั้นก็อาจจะเป็นสิ่งที่ชาวกรุงเทพหลายคนเผชิญอยู่ เพราะ อีก 1 วันเท่านั้นก็ใกล้จะถึงกับวันที่ชาวกรุงเทพตั้งตารอคอย นั่นก็คือในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคมนี้ วันของการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นวันแห่งการตัดสินชะตาชีวิตของกรุงเทพมหานครเลยก็ว่าได้ ว่าจะไปในทิศทางไหน เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกประธานสีตอนสมัยเรียน แต่เพียงแค่การเลือกตั้งในครั้งนี้มันเป็นสเกลที่ใหญ่และสำคัญกว่ามาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าการที่เราจะเลือกผู้นำที่ดีสักหนึ่งคน ย่อมมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่มาช่วยในการตัดสินใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดูทัศนคติ นโยบาย หรือความเป็นไปได้ที่จะพาเราไปในทางที่ดีขึ้น Mango Zero เลยจะมาช่วยให้ชาวกรุงเทพตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า 22 พฤษภาคมนี้ จะเลือกใครดี? พร้อมเปิดศึกผ่านโปรไฟล์ 6 ผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ ตามหานักสู้เพื่อคนกรุงเทพ งานนี้บอกเลยว่ารวมเหล่านักสู้ระดับตัวท็อป ไม่มีใครยอมใครกันเลยดี แต่ขอบอกว่า..ถ้าเลือกได้ดีก็จะเจอนักสู้เพื่อคนกรุงเทพ แต่ถ้าเลือกพลาดขึ้นมาเราก็จะเจอนักสู้เพื่อตัวเองน้าา หึหึ ไม่ปล่อยให้รอช้า…เรามาทำความรู้จักเหล่านักสู้ในศึกครั้งนี้กันเถอะ ฝีมือจัดจ้าน พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพกับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่สวมเสื้อพรรคลงสู่สนามการเมืองท้องถิ่น ด้วยความหวังว่าจะเป็นบันไดขั้นแรกที่ทำให้พรรคสีส้ม (ก้าวไกล) มีโอกาสปรับสถานะเป็นพรรครัฐบาลบ้าง ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคที่คนรุ่นใหม่กำลังจะเติบโตและได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น วิโรจน์นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหล่าคนรุ่นใหม่สนใจเป็นอย่างมาก ด้วยนโยบายที่โดนใจ บวกกับบุคลิกที่ตรงไปตรงมา เมื่อเขาปรากฏบนเวทีดีเบตทางการเมืองซึ่งไม่ว่าจะเป็นเวทีใดก็ตาม งานไหนมีวิโรจน์ งานนั้นจะลุกเป็นไฟแน่นอน ใครที่ติดตามเวทีดีเบตจะเห็นเลยว่า ตอนวิโรจน์ขึ้นพูดหรือปราศรัยแววตาของเขานั้นมั่นคงและจริงจังอยู่ตลอด พร้อมทั้งน้ำเสียงที่หนักแน่น และมั่นใจในทุกคำพูดของตัวเอง จนทำให้บางครั้งเขาก็ดูเหมือนโมโหใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าความมั่นใจและตั้งใจก็นับว่าเป็นจุดแข็งที่โดดเด่นของตัวเขา แต่ในทางเดียวกันมันก็เป็นจุดอ่อนของตัวเขาเหมือนกัน เพราะนโยบายบางข้อก็ไปสุดจนไม่รู้ว่าผู้ว่าจะทำได้จริงไหม อีกทั้งด้วยการที่เขาเป็นบุคลิกสุดโต่ง พร้อมชนกับทุกคน อาจจะโดนเนิร์ฟหนักจากอีกฝ่ายการเมืองได้ ไฮไลท์นโยบาย : วัคซีนฟรีจากภาษีประชาชน งบประมาณที่คนกรุงเทพ “เลือกเองได้” สร้างโรงเรียนปลอดการกลั่นแกล้ง เจอส่วยแจ้งผู้ว่าฯ โดยจะมีระบบที่โปร่งใส และเปิดข้อมูลเพื่อให้ประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบได้ ท่าทางเรียบง่ายและนิ่งสุขุมบวกกับสายตาที่ดูมึนง่วงตลอด แต่เขาคนนี้ดีกรีไม่ธรรมดา “สกลธี ภัททิยกุล” โดยเป็นผู้สมัครที่มีอายุน้อยที่สุดอีกทั้งยังเคยเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้ร่วมศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในครั้งนี้ด้วย ด้วยสิ่งนี้เองเขาจึงมีความพร้อม และประสบการณ์ในตำแหน่งรองผู้ว่าเกือบ 4 ปีซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบของเขาในศึกนี้ โดยหนึ่งในประเด็นที่ทำให้สกลธีเริ่มมีประเด็นและเป็นที่พูดถึง นั่นก็คือเรื่องรัฐประหาร เพราะหลังจากที่ดีเบตกับวิโรจน์ในเรื่องนี้ทำให้เห็นเลยว่าตัวของเขานั้นยังมีความเห็นที่ไม่แน่นอนกับเรื่องนี้ ไม่สามารถฟันธงได้ว่าควรมีหรือไม่มี ซึ่งสาเหตุหลักที่เราคาดเดาและคิดว่าน่าจะเป็นเหตุผลนี้ที่ทำให้เขายังตอบคลุมเครืออยู่ อาจจะเป็นเพราะหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 แล้วสกลธีก็ได้รับรางวัลตั้งแต่เป็น “รองผู้ว่าฯ กทม. “และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง” พรรคพลังประชารัฐ” แต่ถ้าลองมองแบบไม่มีอคติใด ๆ ทั้งนั้นเราจะรู้เลยว่าสกลธีเป็นคนที่ฉลาด และด้วยแต้มต่อที่เป็นคนข้างในจะรู้หมดเลยว่าระบบผู้ว่ากทม. มีอะไรบ้าง ปัญหาไหนควรจะแก้อย่างไร อีกทั้งด้วยแต้มต่อที่อายุยังน้อยเลยทำให้เขาดูมีอนาคตไกลทางด้านการเมือง ซึ่งแน่นอนว่าจากการที่เขาเคยเป็นรองผู้ว่าฯ มาก่อนเขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าควรบริหารยังไง ถึงจะทำให้กทม.พัฒนาขึ้น ไฮไลท์นโยบาย : แก้ไขปัญหาขนส่งสาธารณะ “ล้อ ราง เรือ” โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ ปรับศูนย์สาธารณสุข 69 ศูนย์เป็น Smart Clinic BKK App แอปเดียวครบทุกเรื่องกทม. Street Food ที่ไม่กระทบคนเดินเท้า อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง“เอ้ สุชัชวีร์” ถือเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัวชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเจ้าตัวถือว่ามีความโดดเด่นด้วยด้วยวิสัยทัศน์ที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และนำเทคโนโลยีมาสร้างผลงานการพัฒนาต่าง ๆ จึงทำให้สุชัชวีร์ได้รับฉายาว่า “The Disruptor เมืองไทย” ด้วยนโยบายการแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่ของเอ้นั้นจะนำเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเกี่ยวข้องเสมอ ซึ่งส่วนนี้เองก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าเทคโนโลยีจะนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อเรามีประเทศที่มีทรัพยากรในทุกด้าน ๆ ที่พร้อมซัพพอร์ต บวกกับมีผู้คนที่เปิดรับใจเรียนรู้กับเทคโนโลยีได้เร็ว ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้เราไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี แต่ถ้าเราลองมองดูประเทศไทยเราจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากกกกกกกกกกก เพราะด้วยอย่างแรกคือทรัพยากรเราไม่ได้มีเพียงพอต่อการซัพพอร์ตขนาดนั้น อีกทั้งเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยนี้ใช้ต้นทุนสูง อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ของกทม. ก็เป็นผู้สูงอายุซะส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่จะเรียนรู้และเปิดรับเรื่องไอทีต่าง ๆ ได้ยากมาก แต่ไม่ใช่ว่าพี่เอ้จะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว เพราะหลังจากที่ได้ขึ้นเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้พลิกฟื้น สถาบันจากวิกฤตเงิน 1,600 ล้านบาทที่หายไปจากบัญชี ด้วยการปรับโครงสร้างให้ทันสมัย และหันมาใช้ระบบ Provost เป็นครั้งแรกของประเทศไทย เหมือนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เช่น MIT Harvard และ Stanford อีกทั้งพี่เอ้ยังมีอีกหนึ่งข้อเสียเปรียบใหญ่ ๆ ที่ทำให้เขาอาจจะชวดตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ได้นั่นก็คือ เจ้าตัวไม่มีประสบการณ์ตรงกับงานการเมือง แถมชั่วโมงบินต่ำและไม่เคยจับงานบริหารระดับชาติมาก่อน ซึ่งก็นับว่าเป็นข้อเสียเปรียบที่สำคัญมาก เพราะไม่รู้ว่าด้วยนโยบายที่ล้ำขนาดนี้จะสามารถซื้อใจชาวกทม.ได้มั้ย รอติดตาม ไฮไลท์นโยบาย : นโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุ “อาวุโสอุ่นใจ” บริการ TeleMed และกำไลแจ้งเหตุฉุกเฉิน (Smart Device) เงินเต็มบ้าน งานเต็มมือ ทางจักรยานลอยฟ้า อัศวินอยู่ไหน มีใครรู้บ้าง.. เพราะเขาคนนี้หายตัวแทบทุกเวทีดีเบต โดยเลือกเดินเกมที่วิ่งสวนทางกับผู้สมัครบางคนที่มักไม่พลาดใช้โอกาสในเวทีดีเบต ขึ้นไปโชว์จุดขาย เพื่อเร่งเร้าการตัดสินใจของกลุ่มที่ยังเป็นสวิงโหวต หรือคนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใคร ซึ่งจะว่าไปแล้ว “อัศวิน” ถือเป็นผู้สมัครที่เตรียมตัวมาพร้อมมากที่สุดคนหนึ่ง ด้วยความเป็นผู้ว่าฯ กทม. มาก่อน สามารถวางเครือข่ายได้อย่างครบครัน โดยเฉพาะข้าราชการกทม. ระดับ ผู้อำนวยเขต นโยบายไม่ต้องเขียนใหม่ สามารถทำต่อได้เลย อัศวินได้บอกกับชาวกรุงเทพขณะลงพื้นที่หาเสียง “หลายคนถามผมว่าจะมาลงสมัครทำไมอีก อยู่มาตั้ง 5 ปี 5 เดือน 5 วัน ทำไมปัญหามันแก้ไม่จบ” เพราะปัญหากรุงเทพฯ นั้นมีปัจจัยหลายอย่าง หลายปัญหามีความซับซ้อนต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งเวลา 5 ปี นั้นไม่เพียงพอให้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ หมดปัญหาไปได้ การสมัครรอบนี้จึงเป็นความตั้งใจที่เจ้าตัวจะสานต่อนโยบายต่างๆ ที่ทำมาตลอด 5 ปี “ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่” พร้อมสานต่อผลงานการพัฒนาเพื่อพี่น้องชาวกทม. โดยอัศวินยังบอกว่าตัวเองนั้น “เปิดกว้างกับคนรุ่นใหม่” เพราะคนรุ่นใหม่มีสิทธิ์ มีเสียง มีไอเดียสดใหม่และมีไฟในการลงมือทำงาน ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ได้รับฟังเสียงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นปัญหาในมิติต่าง ๆ และได้กลุ่ม “คน ลุย เมือง” ที่มาพร้อมกับแนวคิดใหม่ประสานกับคนรุ่นใหญ่ มาร่วมทำงานด้วยกัน แต่ในทางกลับกันเจ้าตัวกลับเลือกที่จะไม่ไปเวทีดีเบตตามสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้สื่อสารถึงทัศนคติและนโยบายกับคนรุ่นใหม่ได้ง่ายกว่า แน่นอนว่าเราก็ขอบอกตามตรงเลยว่าอัศวินถือว่าเป็นหนึ่งผู้สมัครที่ไม่ติดอยู่ในตัวเลือกของคนรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้ ไฮไลท์นโยบาย : จัดการน้ำท่วมด้วย Water Bank กองทุนกู้ยืมชุมชน’ แก้ปัญหาปากท้อง คลองหลอดที่กลับมาสดใส สวยงามอีกครั้ง งบอาหารของนักเรียนที่เพิ่มเป็น 40 บาท ได้สิทธิ์ตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.6 หนึ่งในผู้ว่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหลายผลสำรวจ และโด่งดังด้วยมีมดังของเจ้าตัว เขาคนนั้นคืออออออ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” หรือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ว่ากันว่าโพลเลือกตั้งกรุงเทพฯ หักปากกาเซียนมาตลอด ทีมงานชัชชาติจึงมี Mindset ที่ย้ำเสมอว่าอย่าหลงผลโพล ให้แข่งกับตัวเอง มุ่งศึกษา พัฒนานโยบายที่ทำได้จริงเพื่อทำกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับพวกเราทุกคน เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเห็นภาพ “ชายกล้ามใหญ่ สวมเสื้อและกางเกงสีดำ ไม่ใส่รองเท้า ถือถุงกับข้าวเดินเข้ามาในวัด” ผ่านตากันมาบ้างบนโลกออนไลน์ นี่คือภาพที่กลายเป็น “มีม” ด้วยฝีมือชาวเน็ต สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนที่ได้พบเห็น และเป็นต้นกำเนิดฉายา “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” ของ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นักการเมืองมากความสามารถและขวัญใจชาวโซเชียล แต่จากจุดเล็ก ๆ ตรงนี้ทำให้รู้ว่านี่คือหนึ่งในช่องทางที่ดีในการเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้ชัชชาติเลือกที่จะทำป้ายหาเสียงจำนวนน้อยกว่าผู้สมัครเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. คนอื่น ๆ และจากการที่ได้เห็นป้ายหาเสียงของต่างประเทศมีขนาดเล็กเพียงไซส์กระดาษ A3 ไม่บดบังทัศนวิสัย จึงเป็นจุดกำเนิดของป้ายหาเสียงที่มีขนาดเปลี่ยนไป ไม่บังทัศนวิสัย ไม่กีดขวางทางเดินเท้า อีกทั้งทีมงานของชัชชาติยังมีการเล็งรีไซเคิลไวนิลป้ายหาเสียง ทำ ‘กระเป๋า-ผ้ากันเปื้อน’ เพื่อไม่ให้เป็นขยะหลังเลือกตั้ง โดยสไตล์การโปรโมตและหาเสียงของทีมชัชชาติคือสิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุดในมุมมองของเรา ซึ่งเราขอชื่นชมกับทีมงาน pr ของชัชชาติมากเพราะมันทำให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำแร็ปเปอร์มาแร็ปนโยบาย 200 ข้อ , หรือสไตล์กราฟิกที่มีเป็นแนวลายเส้นการ์ตูนทำให้การเมืองมันดูเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งก็ไม่แปลกใจจากการที่ทีมงานของชัชชาติที่มีความครีเอทีฟสูง และตัวชัชชาติเองก็มีความขยันในการไปเวทีดีเบตทุกเวที เรียกได้ว่าชัชชาติพร้อมซื้อใจชาวกทม.ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ชัชชาติได้ความนิยมมากที่สุดในหลาย ๆ โพลสำรวจ ไฮไลท์นโยบาย : พัฒนาคลินิกสาธารณสุขเฉพาะทางด้านสุขภาพของกลุ่ม LGBTQI+ สร้าง Open Art Map and Calendar สร้างแบรนด์ Made in Bangkok (MIB) สินค้าจากผู้ผลิตในกรุงเทพฯ สร้างแผนที่จุดเสี่ยงด้านอาชญากรรม จราจร และสาธารณภัย และคนสุดท้ายที่มาพร้อมกับสโลแกนชวนคนกทม.สงสัย ผมจะทำสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม.ไม่เคยทำ และเขาคนนี้จะทำอะไรเรามาหาคำตอบร่วมกันกับ “นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี” นับเป็นผู้ท้าชิงที่เปิดตัวค่อนข้างช้าจึงทำให้ผลโพลส่วนใหญ่ชาวกทม.ได้มีการตัดสินใจไปก่อนที่ศิธาจะได้เปิดตัว นั่นจึงเป็นข้อเสียเปรียบแรกนับตั้งแต่เขาได้เริ่มก้าวขาเป็นผู้ท้าชิงในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. โดยศิธายืนยันว่า การเข้ามาทำงานการเมืองสังกัดพรรคไทยสร้างไทยไม่ได้ต้องการทำการเมืองระดับชาติแล้วละทิ้ง กทม. หรือใช้ กทม. เพื่อเป็นฐานในการทำการเมืองระดับชาติ พร้อมย้ำหลักการทำงาน พร้อมทั้งมองจุดแข็งของตัวเองว่า เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยมาก่อน ซึ่งเขาทราบว่าระบบราชการของ กทม.ไม่เหมาะสมกับการพัฒนากทม.ให้ดีขึ้น ดังนั้น จะเข้าไปทำงานโดยที่เข้าใจความรู้สึกของข้าราชการชั้นผู้น้อย และจะเปลี่ยนระบบราชการจากการที่เป็นระบบอุปถัมภ์ ทำงานเพื่อเอาใจผู้ใหญ่เพื่อให้ได้รับการแต่งตั้ง มาเป็นข้ารับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังประกาศจุดยืนว่าทำงานได้กับทุกฝ่าย ยกเว้น ‘ลุงตู่-ลุงป๊อก-ลุงป้อม’ ซึ่งจุดที่เรียกว่าเป็นไม้ตายสุดท้ายที่จบได้หล่อ ๆ มากของศิธานั่นก็คือเมื่อวานที่มีการดีเบต ณ เวทีช่องสาม ศิธาได้กล่าวว่า “ไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้ว่า ผมยินดีที่จะให้ ส.ก.พรรคไทยสร้างไทย ไปทำงานร่วมกับคุณ และยินดีมอบนโยบายให้นำไปใช้โดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียว และพร้อมเข้าไปช่วยเสมอ เพราะต้องการพัฒนากรุงเทพเป็นหลัก ไม่ใช่ผลแพ้ชนะ” ในจุดนี้เราต้องขอชื่นชมสปริตศิธามาก ๆ ถือว่าใจได้มากและไปสุดจริง ๆ ไฮไลท์นโยบาย : สร้าง “Bangkok legal Sandbox” เพื่อให้คนกรุงเทพฯได้กลับมาทำมาหากินได้เร็วที่สุด สร้างกทม. เป็นเมือง Start up และดิจิทัล Economy ของเอเชีย “ลาขาดน้ำรอการระบาย” การจัดการด้านน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ กองทุนคนตัวเล็ก เพื่อมอบเครดิตแก่ประชาชน ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้คนกรุงเทพฯ ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้นั้นสำคัญมาก เพราะกรุงเทพฯ ก็เป็นเมืองหลวงที่มีความสําคัญต่อประเทศไทย เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่ยังต้องการผู้ว่าฯ กทม. ที่ทํางานได้รวดเร็ว แก้ปัญหาฉับไวโดยปัญหาสําคัญที่ต้องพัฒนาเร่งด่วน คือเรื่องเดิมๆ อย่างการจราจร ระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เคยแก้ไขสําเร็จ รวมถึงไม่ว่าผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้ง เราก็ต้องรอดูผลงานกันต่อไปว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เพราะผู้ว่าฯกทม. ไม่ได้ทำงานคนเดียวแต่ยังต้องทำงานกับผู้อื่นอีกหลายคนซึ่งอาจจะเป็นฝ่ายการเมืองตรงกันข้าม ที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ตามที่วางไว้ สุดท้ายแล้ว Mango Zero อยากขอเชิญชวนชาวกทม. ทุกคนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันนะฮะ สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้อาจจะต้องรีบศึกษาข้อมูล แล้วก็รีบตัดสินใจนะ เพราะทุกการตัดสินใจมีผลต่อทุกคนเสมอ และหวังว่าพอผลออกมาแล้วเราจะได้ผู้ว่าฯ กทม. ที่จะทำให้คุณภาพชีวิตในกรุงเทพฯ เราดีขึ้น และเป็นเมืองแห่งความสุขสำหรับทุกคนในอนาคตข้างหน้านี้อีกด้วย 22 พฤษภาคมนี้ ไปเลือกตั้งกัน!