Mango Zero

16 พฤติกรรมของร่างกายที่แฝงความหมาย การอ่านใจจากภาษากายเบื้องต้น

แค่ฟังยังไม่พอ เราต่างรู้กันดีว่าการสื่อสารด้วยคำพูดของมนุษย์นั้นแทบจะไม่สามารถเชื่อถือได้ เราพูดในสิ่งที่อยากให้ผู้ฟังเชื่อแม้จะไม่ใช่เรื่องจริง เราโกหกด้วยคำพูดเก่ง แต่รู้หรือไม่ ความจริงแล้วเรายังสื่อสารออกมาด้วยท่าทางของร่างกายด้วย

พฤติกรรมต่างๆ ของร่างกายที่แสดงออกมาตั้งแต่หัวจรดเท้า การกระทำทุกอย่างนั้นมาจากสมองซึ่งล้วนมีความหมาย ในเมื่อคำพูดเชื่อถือไม่ได้ ให้ลองอ่านภาษากายดู

การขยับร่างกายของหลายคนมักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าอีกฝ่ายไม่เคยรู้ความหมายหรือฝึกฝนการฝืนของร่างกาย ก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะเชื่อพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมากกว่าสิ่งที่เขาพูด นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่การประชุมสำคัญไม่สามารถสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตได้ เพราะอีกฝ่ายจำเป็นต้องอ่านท่าทางของคู่สนทนาประกอบไปด้วย

ความหมายของการกลอกตา

ดวงตาเป็นพฤติกรรมที่จับสังเกตได้ง่ายที่สุด เพราะการมองตาเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆ เมื่อเราสนทนากับอีกฝ่าย และสังเกตห็นได้ชัดเจน

คู่สนทนากลอกตาไปทางด้านขวาของตัวเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นขวาบน ขวาล่าง หรือขวาเฉยๆ นั่นหมายความว่าเค้ากำลังคิดเรื่องใหม่ขึ้นมาในหัว ถ้าบทสนทนาในตอนนั้นกำลังคุยเรื่องในอดีต ให้สันนิษฐานได้เลยว่าเค้ากำลังคิดเรื่องเพื่อโกหกเราอยู่

 

คู่สนทนากลอกตาไปทางด้านซ้ายของตัวเขาเอง หมายความว่าเขากำลังนึกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำ สามารถสันนิษฐานได้ว่าเค้ากำลังพูดเรื่องที่เป็นความจริง

 

พฤติกรรมของแขน

แขนก็เป็นอีกจุดหนึ่งของร่างกายที่สังเกตได้ง่าย แต่การอ่านภาษากายจากแขนต้องพิจารณาประกอบกับบริบทต่างๆ ไปพร้อมกันมากหน่อยนะ เพราะมีปัจจัยในเรื่องของความเมื่อยและหน้าที่ของแขน ณ ขณะนั้นด้วย

การที่เอาแขนแนบลำตัวหรือกอดอก บ่งบอกความหมายว่ารู้สึกอึดอัด กำลังถูกคุกคาม หรือมีความไม่สบายใจบางอย่าง

 

การเท้าเอวบ่งบอกถึงการประกาศอนาเขตหรือต้องการแสดงอำนาจ

 

การยื่นแขนแบบไม่เหยียดสุด ทั้งๆ ที่ถ้ายื่นจนสุดจะสะดวกกว่า เช่น การกอด การยื่นของให้คนที่อยู่ไกล แสดงออกว่าเรามีความกังวลกับสิ่งที่ถืออยู่หรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเอง

 

มื้อและนิ้วที่บอกความหมาย

นอกจากแขนแล้ว การวางมือไว้ที่ตำแหน่งต่างๆ หรือการขยับนิ้วล้วนแต่มีความหมายที่ค่อนข้างซื่อตรงทั้งนั้น

 

ถ้าใครสักคนพยายามซ่อนมือเอาไว้ในตำแหน่งที่มองไม่เห็น โดยที่อากาศตอนนั้นไม่ได้หนาวจัด สันนิษฐานได้ว่าเค้ากำลังอึดอัดจากบางสิ่งที่อยู่ตรงนั้น หรือมีบางสิ่งที่ปิดบังอยู่ในขณะสนทนา

 

เมื่อถือของน้ำหนักเบาอย่างดินสอ หรือกระดาษ แล้วของนั้นสั่น สามารถตีความได้สองแบบคือความตื่นเต้นสุดขีดที่ยากที่จะควบคุม และความเครียด ความอึดอัด อันนี้ต้องดูบริบทอื่นประกอบด้วย

 

การประกบมือแบบหน้าจั่ว และปลายนิ้วแต่ละนิ้วสัมผัสกัน แสดงออกว่าคนคนนั้นกำลังมีความมั่นใจอย่างที่สุด

 

การใช้มือสัมผัสบริเวณลำคอหรือสร้อยคอ แสดงออกถึงความกังวลว่าจะมีสิ่งที่เป็นอันตราย รู้สึกไม่สบายใจสุดๆ

 

การจัดวางลำตัว

การเอนตัวโดยถ่ายน้ำหนักไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่ไม่ค่อยสมดุลดูแล้วน่าจะเมื่อย ถ้าคู่สนทนาเราเอนตัวออกห่างจากเรา แสดงว่าเค้ามีท่าทีที่จะไม่ชอบเรา เป็นการปฏิเสธการเผชิญหน้า หรือต้องการสร้างระยะห่าง

 

ถ้าอยู่ดีๆ คู่สนทนาของเราพยายามสูดหายใจเข้าเยอะกว่าปกติ หายใจลึกๆ แรงๆ แสดงว่าร่างกายของเค้าคนนั้นกำลังเผชิญกับความเครียด ลองสังเกตดูว่าสิ่งที่เราพูดมีอะไรทำให้เขากังวล

 

ในกรณีที่คุณเดินเข้าไปหาใครสักคนในขณะที่เขายืนอยู่ ลองเข้าไปยืนในลักษณะเฉียงกับคู่สนทนาแล้วสังเกตดู ถ้าเค้าหันมาหาเราทั้งตัวและเท้าแสดงว่าเค้าเปิดรับเรา แต่ถ้าแค่บิดลำตัวมาคุยกับเรา แสดงว่าเขาไม่ได้เปิดรับเรามากนัก

 

ตำแหน่งของเท้า

เท้าเป็นส่วนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์มาก เรามักแสดงออกผ่านการวางเท้าโดยไม่รู้ตัว แต่เท้านั้นเป็นส่วนที่สังเกตได้ยาก เพราะอยู่ด้านล่าง และหลายครั้งที่จะสิ่งกีดขวางบังอยู่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้

 

เมื่อปลายเท้าข้างใดข้างหนึ้งชี้ขึ้น แสดงว่าเค้ากำลังอารมณ์ดี อาจจะเพิ่งได้ยินอะไรดีๆ หรือกำลังนึกถึงเรื่องดีๆ อยู่

 

การกระเด้งไปมาของเท้า แสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจ กำลังมีความสุข

 

เรามักจะหันไปหาสิ่งที่กำลังสนใจ ถ้าเท้าของคู่สนทนาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างหันไปทิศทางอื่น แสดงว่าเขากำลังสนใจทิศทางนั้น หรือกำลังจะจากไปในทิศทางนั้น เป็นสัญญาณของการเว้นระยะห่าง

 

การไขว้เท้าขณะนั่ง แสดงถึงความไม่สบายใจหรือไม่มั่นคง โดยปกติแล้วเราจะไม่นั่งโดยการนำเท้ามาไขว้กันแบบนี้

 

สำหรับในส่วนนี้ก็เป็นวิธีการอ่านภาษากายเบื้องต้นครับ (ฉบับเต็มยังมีอีกมาก) ลองนำไปฝึกใช้ในชีวิตประจำวันกันดู สามารถฝึกฝนด้วยวิธีการสังเกตคนใกล้ตัว ทำบ่อยๆ ไม่นานเราจะจำได้และอ่านภาษากายได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงการซ่อนภาษากายของตัวเองได้ด้วย

ข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ ร่างกายไม่เคยโกหก – Joe Navarro