แม้ว่าตอนนี้อุณหภูมิของประเทศไทยจะสุงโหดโคตรร้อนแค่ไหน แต่นักวิ่งทั้งหลายก็ไม่อยากที่จะหยุดวิ่งแล้วรอให้อากาศเย็นก่อนแล้วค่อยออกมาวิ่ง เพราะถ้าหยุดวิ่งเท่ากับว่าที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
แต่ถ้าจะออกไปวิ่งตอนช่วงที่อากาศร้อนๆ ก็กลัวว่าจะอันตราย เกิดเป็นลมแดด หรือฮีทสโตรคขึ้นมาจะทำอย่างไร จากการวิ่งเพื่อสุขภาพ อาจจะกลายเป็นวิ่งเพื่อทำลายสุขภาพแทน
เพื่อเราอยากให้ทุกคนได้วิ่งอย่างมีความสุข ได้ออกกำลังกายโดยไม่เสียสุขภาพ เลยจะมาแนะนำ 6 วิธีวิ่งในช่วงอากาศร้อนที่ปลอดภัยต่อร่างกายมาฝาก เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่นักวิ่งทุกคนทำตามได้ทันที
พกขวดน้ำไปด้วย แล้วจิบน้ำบ่อยๆ
อย่างแรกสำคัญที่สุดที่ควรเอาติดตัวไปช่วงนี้ก็คือน้ำ ถ้าจะวิ่งช่วงที่อากาศร้อนๆ ควรจะติดน้ำดื่มไปด้วยแล้วจิบบ่อยๆ อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ และการจิบน้ำไปด้วยระหว่างวิ่งจะช่วยทำให้ร่างกายของเราสดชื่นมากกว่าวิ่งไปโดยที่ไม่มีน้ำกินเลย หรือคิดว่าวิ่งเสร็จแล้วค่อยกินน้ำก็ได้
อย่าลืมว่าช่วงที่อากาศร้อนนั้นร่างกายจะสูญเสียเหงื่อมากกว่าปกติอยู่แล้ว ถ้าร่างกายขาดน้ำ และเกลือแร่มากเกินไป (โดยเฉพาะนักวิ่งที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำระหว่างวัน) อาจจะเสี่ยงเกิดโดนฮีทสโตรก เล่นงานได้ ฉะนั้นพกขวดน้ำติดตัวไประหว่างวิ่งจะดีต่อตัวนักวิ่งทุกคน
เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
สาเหตุที่อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นระหว่างที่วิ่งหรือออกกำลังกายก็คือร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ ส่วนนึงเพราะเสื้อผ้าที่ใส่ไม่ระบายอากาศได้ดีพอ บางคนอาจจะคิดว่าเสื้อวิ่งที่ใส่อยู่ทั่วๆ ไปก็น่าจะระบายอากาศได้ดีแล้ว แต่ในความเป็นจริงเสื้อจากงานวิ่งนั้นไม่ได้ระบายอากาศได้ดีเท่าไหร่
เพราะเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ธรรมดาๆ ใส่สบาย ลื่น แต่ระบายอากาศได้ไม่ดี ไม่ได้มีเทคโนโลยีในการระบายอากาศเหมือนเสื้อแบรนด์กีฬา หรือเสื้อบางแบรนด์ที่มีสรรพคุณระบายเหงื่อได้ไว ระบายความร้อนได้ดี (เช่น Uniqlo AIRism) เลยอยากแนะนำให้ลงทุนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดีมากๆ จะทำให้การวิ่งของเราไม่ร้อนจนเกินไป
ลดอุณหภูมิร่างกายบ่อยๆ
ในระหว่างที่วิ่ง เราสามารถใช้น้ำที่ถือติดตัวมาด้วยดับร้อนบริเวณใบหน้า หรือส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะข้อพับต่างๆ เพื่อเป็นการลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้ หากคุณรู้สึกว่าร่างกายมันร้อนเกินไป
สำหรับวิธีการดับร้อนด้วยน้ำคือการพรมใส่ร่างกายในจุดที่ต้องการ หรือใช้ฟองน้ำซับตามจุดต่างๆ แต่ไม่ใช่เป็นการราดใส่ตัว หัว หรือส่วนต่างๆ เพราะถ้าอุณหภูมิร่างกายเปลี่ยนกระทันหัน อาจจะป่วยได้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน อาจจะป่วยได้
หมั่นสำรวจการเต้นของหัวใจตลอด
เป็นเรื่องปกติที่อากาศยิ่งร้อนเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเรามีความเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งหากออกกำลังกายต่อเนื่องอย่างการวิ่งโอกาสที่อัตราการเต้นของหัวใจจะพุ่งสูงกว่าปกติก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ นักวิ่งจึงหมั่นสำรวจอัตราการเต้นของหัวใจตัวเองอยู่เสมอ
ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกว่าหัวใจของเราเต้นแรงเกินกว่าปกติแม้จะวิ่งด้วยเพซเท่าเดิม ควรค่อยๆ ลดความเร็วลงเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เข้าที่ อย่าหยุดวิ่งเลย เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้
เมื่อลดความเร็วจนถึงจุดที่หัวใจเต้นอยู่ในสภาวะปกติที่สุดแล้ว ให้คุณทำการประเมินสภาพร่างกายตัวเองอีกที ถ้าไม่ไหว ก็อย่าฝืนกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่า
วิ่งในร่มเงา และใส่อุปกรณ์กันแดด
นักวิ่งควรจะเลือกเส้นทางที่ไม่โดนแดด หรือโดนแดดน้อยที่สุด เพราะยิ่งออกแดดมาก ก็จะยิ่งทำให้เราร้อนมากขึ้นเสีย เสียน้ำมากขึ้น และเหนื่อยไวขึ้นด้วย และแม้จะไม่ได้วิ่งแล้วโดนแสงแดดโดยตรง แต่ก็ควรทาครีมกันแดด SPF15 ขึ้นไปเพราะแดดสามารถทะลุได้ทุกร่มเงา
รวมถึงใส่อุปกรณ์ช่วยกันแดดทั้งหมวก และแว่นตาสำหรับวิ่งไปด้วย อย่างน้อยที่สุดถ้าวิ่งออกแดดทั้งหมวก รวมถึงแว่นกันแดดก็พอจะช่วยให้ร่มเงา และปกป้องคุณจากแดดได้บ้าง
เปลี่ยนเวลาวิ่งเป็นช่วงเช้ามืด
ความร้อนจะมาพร้อมกับไอแดดและแสงอาทิตย์ และถ้าอยากจะวิ่งโดยที่ไม่เจออากาศร้อนก็ควรจะต้องวิ่งในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หรือวิ่งในช่วงที่พระอาทิตย์ตกลงไปแล้วสักพักใหญ่ ซึ่งก็คือไม่เช้ามืดไปเลย ก็ค่ำมืดไปเลย
แต่อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาการวิ่งหัวค่ำ จะมีอุณหภูมิที่สูงกว่าตอนหัวค่ำแน่นอนเนื่องจากอุณหภูมิที่สะสมอยู่ในพื้นดินจะถูกปล่อยออกมา จึงทำให้อุณหภูมิช่วงหัวค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจึงร้อนกว่าช่วงเช้ามืด ดังนั้นถ้าอยากจะหนีอุณหภูมิที่ร้อน แนะนำให้วิ่งตอนเช้ามืดจะดีที่สุด